พี่หมากฟอร์มดีต่อเนื่อง ! เจาะประเด็น แมนยู บุกเสมอ คลับ บรูช

แมตช์นี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มีการเปลี่ยนทีมเยอะพอสมควรโดยเลือกใช้งาน ฆวน มาต้า กับ เจสซี่ ลินการ์ด เป็นตัวจริง และดร็อป เฟร็ด กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซึ่งนั่นส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของทีมพอสมควร เพราะเจ้าบ้านทำผลงานได้ดีกว่า และยิงประตูขึ้นนำไปก่อน

    อย่างไรก็ตาม มาร์กซิยาล ฉกฉวยโอกาสสำคัญยิงประตูตีเสมอให้ทีมได้ในครึ่งแรก กระนั้นครึ่งหลัง “เร้ด เดวิลส์” ก็ไม่ได้ดูเหนือกว่า บรูช มากนัก จนกระทั่ง โซลชา ตัดสินใจส่ง เฟร็ด กับ แฟร์นันด์ส ลงสนาม และทำให้ทีมโชว์ฟอร์มได้เหนือกว่าเจ้าบ้านในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่านักเตะ 2 คนนี้มีความสำคัญกับทีมมากแค่ไหน

1. มาร์กซิยาล เริ่มพึ่งพาได้ 

    ตอนนี้ต้องยอมรับว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คงรู้สึกเบาใจไปได้ในระดับหนึ่งกับการหากองหน้าที่จะมาทดแทน มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่มีแววหมดสิทธิ์กลับมาลงเล่นให้ทีมในช่วงที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้ เพราะ อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล เริ่มผลิตสกอร์ให้ทีมได้อย่างต่อเนื่อง

    แน่นอนว่าสาวก “เร้ด อาร์มี่” คงรู้อยู่แก้ใจว่า มาร์กซิยาล มีทั้งดีและแย่อยู่ในตัว ในด้านที่แย่ๆ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ อาจจะดูเฉื่อยชา และเล่นไม่ค่อยมีสมาธิ แต่ในด้านดีๆ เขาเป็นหัวหอกที่หากมีโอกาสก็สามารถโป้งปิดบัญชีได้เลย โดยในเกมเยือนถิ่นเบลเยียม เจ้าตัวแสดงให้เห็นแล้วว่ามีความอันตรายทุกจังหวะ

    มาร์กซิยาล แสดงให้เห็นถึงฟอร์มที่ค่อยๆ ดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่แมตช์ที่ทำประตูให้ต้นสังกัดขึ้นนำในเกมพรีเมียร์ลีก บุกชนะ เชลซี เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ขณะที่เกมล่าสุดกับ คลับ บรูช แข้งเลือดน้ำหอมฉกฉวยจังหวะการเล่นผิดพลาดของเจ้าบ้าน ลากบอลด้วยความเร็วเข้าไปซัดตีเสมอให้ทีม ซึ่งเป็นประตูสำคัญเพราะทำให้ “ผีแดง” ได้ประตูทีมเยือน

    ที่สำคัญ มาร์กซิยาล เกือบบวกประตูที่สองให้กับทีมและให้กับเจ้าตัวในช่วงท้ายครั้งแรก เมื่อมีโอกาสตะบันไกลหน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งแรงผ่านมือ ซิมง มิโญเล่ต์ ไปแล้วแต่น่าเสียที่บอลชนเสาออกไป ก่อนที่ โซลชา จะเปลี่ยนตัวออกและให้ โอเดียน อิกาโล่ ลงมาเล่นแทน ในนาทีที่ 67 

2.  โรเมโร่ พลาดแบบไม่น่าพลาด 

    หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ดาบิด เด เคอา เป็นนักเตะสำคัญและลงเล่นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอนั่นก็คือฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวา แทบจะไม่ค่อยทำเรื่องผิดพลาดจนส่งผลให้ต้นสังกัดเสียหาย และนั่นทำให้สาวก “เร้ด อาร์มี่” รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เห็น นายด่านชาวสแปนิช ยืนจังก้าเฝ้าเสาประตู

    สำหรับเกมเยือน คลับ บรูช “น้าลูกอม” เลือกที่จะให้โอกาส เซร์คิโอ โรเมโร่ ลงทำหน้าที่เป็น 11 ตัวจริง และงานนี้ โกลชาวอาร์เจนไตน์ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นมือหนึ่งแทน เด เคอา ได้เลย ซึ่งดูได้จากจังหวะที่เจ้าบ้านได้ประตูขึ้นนำ

ประตูดังกล่าวเกิดจากการเล่นแค่ 2 จังหวะเท่านั้น โดย มิโญเล่ต์ เปิดบอลจากหน้าประตู ด้วยลมที่แรงทำให้บอลพุ่งข้ามไปถึงฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด และไม่ได้มีความอันตรายอะไรเลย ที่สำคัญ เอ็มมานูเอล เดนนิส ยังโดน แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ วิ่งตามมาเบียดด้วย

    แต่อยู่ดีๆ โรเมโร่ ก็ออกมายืนอยู่นอกกรอบ และทำให้ เดนนิส ที่วิ่งมาถึงบอลก่อนเห็นโอกาสทองก็เลยแตะบอลข้ามหัวแบบสบายๆ เข้าประตูหน้าตาเฉย ซึ่งจังหวะนี้หาก โรเมโร่ ไม่ออกมา คาดว่า วิลเลี่ยมส์ คงวิ่งเบียดจนทำให้ เดนนิส ยิงได้ลำบากมากกว่านี้

    ย้อนกลับไปช่วงต้นเกม แมนฯ ยูฯ ก็เกือบเสียบประตู เมื่อ เดนนิส หลุดเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษ และ โรเมโร่ วิ่งออกมาตัดบอล แต่โดนกระดกบอลข้ามตัว เดชะบุญที่ เนมานย่า มาติช เคลียร์บอลออกไปได้ทัน ไม่งั้นคงโดนนำตั้งแต่ไกโห่แหงๆ 
 
3. โซลชา กล้าเสี่ยงเปลี่ยนทีมเยอะ 

    ด้วยการที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมลงเล่นหลายแมตช์ในช่วง 2 สัปดาห์ต่อจากนี้โดยหนึ่งในนั้นเป็นเกมพรีเมียร์ลีก ที่ต้องปะทะกับ  วัตฟอร์ด ที่สนามโอลด แทร็ฟฟอร์ ซึ่งเป็นเกมที่สำคัญเนื่องจากทีมต้องการคะแนนสำหรับการลุ้นโควตาท็อปโฟร์ ทำให้ โซลชา เลือกที่จะเปลี่ยนทีมหลายตำแหน่ง

    หลายคนคงเห็นว่า 11 ตัวจริงของทีมชุดเยือนดินแดนชอกโกแลตอร่อย กุนซือเบบี้เฟซ มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก โดยเขาเปลี่ยนทีมถึง 6 ตำแหน่งจากชุดตัวจริงที่บุกสอย “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี 2-0 ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

    เหตุผลสำคัญที่ โซลชา ต้องทำแบบนี้เพราะจำเป็นต้องพักผู้เล่นเอาไว้บ้างเนื่องจากมีเกมสำคัญอีกหลายแมตช์ต้องลงสนาม ขณะเดียวกันก็เพื่อให้โอกาสผู้เล่นอีกหลายคนได้เคาะสนิท เพราะหากให้นั่งตียุงในซุ้มม้านั่งสำรองนานๆ อาจจะส่งผลกระทบกับฟอร์มการเล่น และความมั่นใจในระยะยาว

    ฆวน มาต้า กับ เจสซี่ ลินการ์ด ได้โอกาสแต่ก็ไม่ค่อยได้มีส่วนช่วยอะไรกับทีมมากนัก ขณะที่ ดีโอโก้ ดาโลต์ เป็นผู้เล่นอีกคนที่ โซลชา เลือกที่จะให้โอกาสลงทดสอบตัวเองในช่วง 45 นาทีแรก แน่นอนว่าการเปลี่ยนตำแหน่งเยอะเกินไปทำให้ฟอร์มของทีมไม่ค่อยดีนัก และออกจะน่าเบื่อนิดหน่อย เนื่องจาก “ผีแดง” ขาดความแข็งแกร่งในเชิงลึกเพื่อที่จะสร้างโอกาสยิงประตู รวมทั้งขาดคุณภาพที่จำเป็นเพื่อที่จะเอาชนะในเกมนี้ด้วย

 4.  เฟร็ด กับ แฟร์นันด์ส สำคัญกับแมนยู  

    หากไม่นับจังหวะผิดพลาดของ คลับ บรูช ที่ทำให้ มาร์กซิยาล หลุดเข้าไปยิงประตูตีเสมอในช่วงครึ่งแรก ต้องบอกเลยว่าการสร้างสรรค์เกมของ “ปีศาจแดง” ในแมตช์นี้แทบไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่นั่นก็เป็นเพราะ โซลชา เลือกที่จะเปลี่ยนทีมเยอะ ทำให้ฟอร์มของ “ผีแดง” ไม่ได้โดดเด่นเหนือกว่าเจ้าบ้านมากนัก 

    อย่างไรก็ตามตอนที่ “น้าลูกอม” ตัดสินใจถอด อันเดรียส เปเรยร่า ออกแล้วส่ง เฟร็ด ลงมาเล่นในนาทีที่ 71 ทีมเริ่มทำผลงานได้ดีขึ้น แต่แข้งเลือดบราซิเลียน ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก จนกระทั่ง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงสนามในช่วง 10 นาทีสุดท้าย แทนที่ ดาโลต์ 

    หลังจากที่สตาร์ลูกหนังทีมชาติโปรตุเกส ลงสนาม ฟอร์มของแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา สามารถไล่กดดัน คลับ บรูช ได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างโอกาสทำประตูหลายครั้ง โดยเหตุผลสำคัญเพราะการประสานงานระหว่าง เฟร็ด กับ แฟร์นันด์ส เข้าขาลงตัวมากๆ 

    ฉะนั้น กุนซือชาวนอร์เวย์ คงเห็นจุดเด่นของทีมว่าหาก เฟร็ด กับ แฟร์นันด์ส ได้มีโอกาสลงสนามประสานงานด้วยกัน แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสที่จะสร้างความแตกต่างได้เยอะมาก และคู่นี้น่าจะเป็นสองแข้งที่ โซลชา จะใช้เป็นตัวหลักในการสร้างทีมแห่งอนาคต 
 
5. อเวย์โกลที่ต้องการ

    แม้ว่าทีมจะเริ่มต้นไม่ค่อยดีโดนยิงประตูนำไปก่อน แต่ก็ได้ มาร์กซิยาล ที่ยิงประตูสำคัญช่วยให้ทีมได้ผลเสมอ 1-1 และยังเป็นประตูทองที่อาจจะนำไปสู่การผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เพราะพวกเขาได้เปรียบจากการยิงประตูทีมเยือน หรือ อเวยโกลนั่นเอง

    แน่นอนว่าประตูของ หัวหอกเลือดเฟร้นช์ จะทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นแบบไม่กดดันมากนักในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แมตช์ที่สอง เพราะพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ คลับ บรูช เพราะสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้หากทีมเสมอแบบไร้สกอร์ 

    ยิ่งไปกว่านั้นการที่ คลับ บรูช จำเป็นต้องยิงประตู ทำให้พวกเขาต้องเปิดหน้าเล่นเกมรุกเพราะหวังจะยิงประตูเพื่อเอาอเวย์โกลเช่นกัน ซึ่งก็เข้าทาง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มักจะทำผลงานได้ดีกับทีมที่เดินหน้าบุกเข้าใส่ เพราะพวกเขามีทีเด็ดจากจังหวะสวนกลับเร็ว เนื่องจากมีแข้งฝีเท้าจรวดอยู่ในทีมเพียบ อย่างเช่น มาร์กซิยาล และ แดเนี่ยล เจมส์ เป็นต้น